มาทำความรู้จักคำว่า “De-Fi” ฉบับมือใหม่เข้าใจง่ายกันดีกว่า!
หลายๆคนที่เพิ่งก้าวเข้ามาในวงการคริปโต อาจจะเคยผ่านการซื้อหรือเทรดคริปโตมาบ้างแล้ว และกำลังศึกษาข้อมูลในส่วนที่ลึกขึ้น ทุกคนก็จะเจอกับคำว่า “De-Fi” ผมเชื่อว่ามีหลายคนเลยที่ยังงงๆกับความหมายและคอนเซปของคำว่า De-Fi
ผมคนนึงที่เคยนั่งงมอยู่พักใหญ่ๆ ก็เลยอยากจะมาแชร์เกร็ดความรู้เล็กน้อยให้กับทุกคนฟังว่า De-Fi คืออะไร? อะไรที่เรียกว่า De-Fi ได้บ้าง? มันมีทั้งหมดกี่ประเภท? บทความนี้จะไขคำตอบให้กับทุกคนเอง ยาวนิดหน่อย แต่รับรองว่าได้ประโยชน์ไม่มากก็น้อยแน่นอน พร้อมแล้วก็ไปอ่านกันเล้ยยย
หัวข้อในบทความนี้ประกอบไปด้วย
1) De-Fi คืออะไร?
2) การลงทุนใน De-Fi แบ่งออกเป็นกี่ประเภท? อะไรบ้าง?
3) ความเสี่ยงของการลงทุนใน De-Fi
De-Fi คืออะไร?
De-Fi ย่อมาจากคำว่า Decentralized Finance หรือถ้าแปลเป็นไทยคือ ระบบการเงินแบบ “ไร้ตัวกลาง”
ในปัจจุบันเนี่ย เวลาเราจะทำธุรกรรมทางการเงินทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นฝากเงิน ถอนเงิน ปล่อยกู้ ซื้อผลิตภัณฑ์ทางการเงิน เราจะต้องกระทำผ่านคนกลางทั้งหมด อย่างเช่น ธนาคาร หรือสถาบันการเงิน เนื่องจากบุคคลหรือองค์กรเหล่านี้ จะเป็นคนที่คอยกำกับดูแลและตรวจสอบความถูกต้องในธุรกรรมทางการเงินของเรา ก็เพื่อป้องกันการฉ้อโกงและกำกับดูแลให้เป็นไปตามระเบียบที่ทางตัวกลางกำหนดไว้
ตัวอย่างเช่น เวลาเราต้องการจะกู้เงิน เราก็ต้องไปกู้ผ่านตัวกลางซึ่งคือธนาคารหรือสถาบันการเงิน อย่างที่หลายๆคนทราบครับ การทำธุรกรรมทางการเงินแต่ละที ต้องใช้ระยะเวลาและขั้นตอนในการดำเนินการธุรกรรมเยอะมากๆ ขอเอกสารเอย ประวัติส่วนตัวเอย statement เอย และมีค่าใช้จ่ายในการทำธุรกรรมที่สูง เพราะต้องมีการหักค่าธรรมเนียมในหลายส่วน
ทั้งหมดนี้ จึงเป็นข้อเสียของการมีตัวกลางมากำกับดูแลธุรกรรมทางการเงินของเรา ซึ่งเราจะเรียกกันระบบการเงินแบบดั้งเดิมนี้อย่างติดหูว่า Centralized Finance (Ce-Fi) หรือการเงินแบบมีตัวกลาง
แต่จะดีกว่ามั้ย ถ้าเราสามารถลดขั้นตอนการดำเนินธุรกรรมของเรา ลดระยะเวลาดำเนินธุรกรรม ไม่ต้องยื่นเรื่องส่งเอกสารมากมายให้ปวดหัว จากแนวคิดเหล่านี้ จึงถือกำเนิดระบบการเงินแบบ ”ไร้ตัวกลาง” หรือ Decentralized Finance ขึ้นมานั่นเองครับ
ระบบการเงินในปัจจุบัน (Centralized Finance) มีสถาบันการเงินเป็นคนกำกับดูแล แต่ De-Fi นั้นไม่มี แล้วมันจะสามารถทำงานได้อย่างไร?
De-Fi จะใช้สิ่งที่เรียกว่า smart contract ซึ่งมันเป็นกระบวนการทางดิจิตอลอย่างนึง หน้าที่ของมันคือ มันจะคอยบันทึกทุกๆธุรกรรมที่เกิดขึ้นใส่ไว้บน blockchain ฉะนั้นเวลาจะทำธุรกรรมอะไรก็แล้วแต่ผ่าน De-Fi เราจะไม่ต้องมาคอยคุยกับพนักงาน หรือเดินเปลี่ยนแผนกยื่นเรื่องไปเรื่อยๆเหมือน traditional finance อีกแล้ว เพราะ smart contract จะเป็นคนจัดการให้เราทุกอย่าง ดังนั้น การประยุกต์ใช้ smart contract กับธุรกรรมในโลก De-Fi ทำให้มันไม่ต้องใช้ธนาคารหรือสถาบันการเงินมาเป็นคนกำกับดูแลอีกเลย
ตัวอย่างเช่น สมมุติผมต้องการโอนเหรียญ ETH ไปให้กับเพื่อนของผมผ่านแพลตฟอร์มใน De-Fi เจ้า smart contract ก็จะบันทึกธุรกรรมนี้ลงบน blockchian ซึ่งข้อมูลธุรกรรมนี้จะไม่มีใครสามารถแฮ็คหรือบิดเบือนมันได้เลย เพราะข้อมูลทั้งหมดมันถูกบันทึกลงบน blockchain มันจึงมีความปลอดภัย โปร่งใส และทุกคนสามารถตรวจสอบธุรกรรมนี้ได้ ข้อดีตรงนี้ ทำให้ De-Fi ทั้งประหยัดเวลา ประหยัดค่าใช้จ่าย และรวดเร็วมากกว่า traditional finance
ซึ่งในปัจจุบัน De-Fi มีแพลตฟอร์มที่สามารถทำธุรกรรมทางการเงินได้เหมือนกับ traditional finance ทั้งหมดเลย ไม่ว่าจะเป็น แพลตฟอร์มสำหรับปล่อยกู้/กู้ยืม เช่น Aave, Compound แพลตฟอร์มการฝากเงินเพื่อรับดอกเบี้ย เช่น Anchor Protocol แพลตฟอร์มสำหรับแลกเปลี่ยนสกุลเงินดิจิตอล เช่น Uniswap, SushiSwap, PancakeSwap และแพลตฟอร์มทางการเงินอื่นๆอีกมากมายเกือบทุกประเภท
แล้วการลงทุนใน De-Fi แบ่งออกเป็นกี่ประเภท? อะไรบ้าง?
อย่างที่บอกครับว่า สิ่งที่ traditional finance ทำได้ De-Fi ทำได้แทบจะทุกอย่างเลย แต่ในแง่ของการลงทุนใน De-Fi ผมจะแบ่งการลงทุนเป็นประเภทใหญ่ๆทั้งหมด 3 ประเภท ได้แก่
การเป็นผู้เพิ่มสภาพคล่องให้กับแพลตฟอร์มต่างๆ (Liquidity Provider)
ในโลก De-Fi นั้น จะมีแพลตฟอร์มสำหรับแลกเปลี่ยนคริปโตอยู่เยอะมากๆ ซึ่งเราจะเรียกแพลตฟอร์มเหล่านี้ว่า Decentralized Exchanges เรียกสั้นๆว่า DEXs, DEXs เนี่ยเปรียบเสมือนธุรกิจ Superrich ในโลก De-Fi เลย ใครที่มีเหรียญอะไรแล้วอยากเอามาแลกกับเหรียญอะไร ก็สามารถนำมาแลกได้ที่ DEXs เลยครับ
ยกตัวอย่างเช่น PancakeSwap ซึ่งเป็น DEXs เจ้าใหญ่จากฝั่ง Binance Smart Chain ก็จะมีเหรียญคริปโตรวมถึงโทเค็นต่างๆเยอะแยะมากมายไว้ให้เราแลก เราต้องการแลกเหรียญไหน ก็กดแลกพร้อมเสียค่าธรรมเนียมของระบบเล็กน้อยให้กับ PancakeSwap เป็นอันเสร็จสิ้นขั้นตอนการแลกเหรียญ เหรียญที่เราแลกก็จะเข้ากระเป๋าของเราโดยอัตโนมัติ
แล้ว PancakeSwap นำเหรียญจากไหนมาใส่ไว้ในแพลตฟอร์มสำหรับให้คนมาแลก?
จึงเป็นที่มาของการลงทุนประเภทแรกนี้ครับ เนื่องจากในโลก De-Fi นั้น ไม่มีตัวกลางอย่างธนาคารหรือสถาบันการเงินมาใส่สภาพคล่องเหรียญต่างๆเอาไว้ ทางแพลตฟอร์ม DEXs เลยเปิดโอกาสให้ใครก็ได้มาเป็น “ผู้ให้บริการสภาพคล่อง” ให้กับแพลตฟอร์มนั่นเองครับ
โดยคนที่จะเป็นผู้ให้บริการสภาพคล่อง จะต้องนำคู่เหรียญ 2 สกุล มาฝากเอาไว้ในแพลตฟอร์มเป็นจำนวนที่เท่ากันทั้งสองฝั่ง เราจะได้รับส่วนแบ่งค่าธรรมเนียมกรณีที่มีคนมาแลกเหรียญกับแพลตฟอร์ม
ซึ่งบาง DEXs จ่ายส่วนแบ่งค่าธรรมเนียมให้เป็นค่าธรรมเนียมตรงๆเลย ฝากเหรียญไหน ได้ค่าธรรมเนียมเหรียญนั้น และบาง DEXs จ่ายส่วนแบ่งค่าธรรมเนียมเป็น governance token ของแพลตฟอร์ม อย่างเช่น PancakeSwap ก็จะจ่ายส่วนแบ่งค่าธรรมเนียมให้กับผู้ที่มาให้บริการสภาพคล่องเป็นเหรียญที่ชื่อว่า Cake ซึ่งเราก็สามารถนำ Cake ไปขายทำกำไร หรือจะนำมาเป็นสิทธิ์ในการโหวตทิศทางของ PancakeSwap นั่นเองครับ
ยกตัวอย่างเช่น ในปัจจุบัน ถ้าเรานำเหรียญ BNB และเหรียญ BUSD นำไปฝากไว้ใน PancakeSwap เวลามีคนนำเหรียญ BNB มาแลกเป็น BUSD หรือนำ BUSD มาแลกเป็นเหรียญ BNB เราก็จะได้รับผลตอบแทนของส่วนแบ่งค่าธรรมเนียมคิดเป็น APY อยู่ที่ 30% ต่อปี โดยเราจะได้รับผลตอบแทนเป็นเหรียญ Cake เป็นต้นครับ
การนำเหรียญคริปโตไปค้ำประกัน และกู้เงินออกมาใช้ (Lending & Borrowing)
หลายๆคนอาจจะงงๆว่า แล้วทำไมเราถึงต้องนำคริปโตเขาเราไปค้ำประกันด้วย ก็นำคริปโตของเราไปใช้เลยสิ เพราะถ้าค้ำประกันแล้วกู้เงินออกมา สุดท้ายก็ต้องจ่ายดอกเบี้ยกู้ยืมอยู่ดี มันคุ้มหรอ?
คำตอบคือ มันคุ้มครับ หลายๆท่านอาจจะไม่รู้ว่า จุดเด่นของแพลตฟอร์มสำหรับกู้ยืมในโลก De-Fi ในบางแพลตฟอร์มคือ “ยิ่งกู้เงิน ยิ่งได้ผลตอบแทน” ฟังไม่ผิดครับ คนที่มากู้เงิน ทางแพลตฟอร์มก็จะให้ผลตอบแทนกับคนที่กู้อีกด้วย!
วิธีการมันเป็นแบบนี้ครับ สมมุติเรามีเหรียญ ETH ซึ่งต้องการถือเก็บไว้ยาวๆ ถ้าเราปล่อยมันไว้เฉยๆก็มีค่าเสียโอกาสเต็มไปหมด จะดีกว่ามั้ยถ้าเรานำ ETH ของเรา ไปค้ำประกันไว้บนแพลตฟอร์มกู้ยืมเงิน เพื่อที่เราจะสามารถกู้ USDC ออกมาจำนวนหนึ่ง และนำ USDC ตรงนี้ไปลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทน
อย่างที่บอกครับว่า บางแพลตฟอร์มจะมีการแจกผลตอบแทนในการกู้ด้วย เท่ากับว่า ตอนเราค้ำประกัน ETH เพื่อกู้ USDC นอกจากเราจะต้องจ่ายดอกเบี้ยในการกู้ USDC แล้ว แพลตฟอร์มจะแจกผลตอบแทนจากการกู้ USDC เป็นสัดส่วนที่มากกว่าดอกเบี้ยกู้ยืมที่เราต้องจ่ายอีกด้วย จึงเป็นที่มาของคำว่า“ยิ่งกู้เงิน ยิ่งได้ผลตอบแทน” นั่นเองครับ
โดยส่วนมาก ผลตอบแทนที่แพลตฟอร์มแจกจากการกู้ยืม จะแจกเป็น governance token ของแพลตฟอร์ม และ USDC ที่เรากู้มา เราก็สามารถนำไปสร้างผลตอบแทนได้อีกทอดนึง เรียกได้ว่ายิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว
ยกตัวอย่างเช่น Anchor protocol แพลตฟอร์มธนาคารจากฝั่ง Terra Chain โดยเราสามารถนำเหรียญ LUNA ไปค้ำประกันเพื่อกู้ยืมเหรียญ UST ออกมาได้ โดยการค้ำประกัน LUNA เพื่อกู้ UST เราจะต้องจ่ายดอกเบี้ยในการกู้ยืมถึง 25% ต่อปี แต่เราก็จะได้รับ rewards จากการค้ำประกันและกู้เป็น governance token ของแพลตฟอร์มก็คือเหรียญ ANC ที่สัดส่วนถึง 36% ต่อปี
เท่ากับว่า ในขั้นตอนแค่การค้ำประกัน LUNA เพื่อกู้ UST เราก็ได้ผลตอบแทนไปแล้ว 11% ต่อปี(36%-25%) และหลังจากนี้ เราสามารถนำ UST ที่กู้มา ไปฝากออมทรัพย์บนแพลตฟอร์ม Anchor เพื่อรับดอกเบี้ยได้สูงสุด 18%-20% ต่อปี และได้ดอกเบี้ยเป็น UST อีกด้วย ถือเป็นหนึ่งในกลยุทธ์สำหรับคนที่อยากถือเหรียญ LUNA ระยะยาวนั่นเองครับ
การทำ Delta Neutral ในสินทรัพย์สังเคราะห์
ถ้าหลายๆท่านที่มาจากตลาดหุ้น อาจจะเคยได้ยินกลยุทธ์ Long/Short Hedge ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่นักลงทุนสามารถทำกำไรได้ทั้งในตลาดขาขึ้นและขาลง โดยการเปิด position long และ short ในสินทรัพย์ตัวเดียวกัน
ในโลก De-Fi ก็มีวิธีทำกำไรประเภทนี้เช่นกันผ่านสินทรัพย์สังเคราะห์ ซึ่งสินทรัพย์สังเคราะห์ในโลก De-Fi มีทุกอย่างใน traditional market เลย ไม่ว่าจะเป็น หุ้น ทองคำ ค่าเงิน สินค้าโภคภัณฑ์ รวมถึงดัชนีราคาต่างๆ และเราสามารถ long และ short สินทรัพย์เหล่านี้ เพื่อทำกำไรในตลาดทั้งสองขา วิธีการนี้จะเรียกว่า Delta Neutral
โดยการจะได้สินทรัพย์สังเคราะห์พวกนี้ หลักการเดียวกับการค้ำประกันเลย คือเราต้องนำเหรียญคริปโตของเรา ไปค้ำประกันกับแพลตฟอร์มสร้างสินทรัพย์สังเคราะห์ตามสัดส่วนที่แพลตฟอร์มกำหนด หลังจากนั้นแพลตฟอร์มจะ mint สินทรัพย์สังเคราะห์ที่อ้างอิงกับสินทรัพย์ที่เราต้องการออกมาให้ใช้
สมมุติว่าเราซื้อหุ้น AAPL มาเพื่อเปิด position long และ short เมื่อวันที่ราคาหุ้น AAPL ขึ้น เราก็จะได้รับผลตอบแทนเป็นเหรียญ MIR ซึ่งเป็น governance token ของแพลตฟอร์มจากฝั่ง long position และเมื่อราคาหุ้น AAPL ลง เราก็จะได้รับผลตอบแทนเป็นเหรียญ MIR ในฝั่ง short position เป็นต้นครับ
ความเสี่ยงของการลงทุนใน De-Fi
ความเสี่ยงแรกก็คือ “ความไม่รู้”
การที่ศึกษา De-Fi แต่ละโปรเจคไม่ละเอียด ศึกษาขั้นตอนในการเอาเงินมาลงทุนไม่ละเอียด เหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นกับนักลงทุนหน้าใหม่นักต่อนักแล้ว ความผิดพลาดเพียงแค่ใส่ address ในการโอนเหรียญคริปโตผิดเพียงตัวเดียว ก็ทำให้เหรียญคริปโตของเราหายไปได้เลย ไม่เหมือนกับธนาคาร ถ้าเราโอนเงินไปผิดบัญชี เราก็สามารถติดต่อธนาคารทำเรื่องขอคืนเงินได้ ฉะนั้นนักลงทุนที่จะเข้ามาลงทุนใน De-Fi ควรศึกษาทุกขั้นตอนให้ละเอียดรอบคอบ
ความเสี่ยงสองคือ ความผิดพลาดและช่องโหว่ของ smart contract
เนื่องจากมันเป็นเรื่องเกี่ยวกับซอฟแวร์และภาษาทางคอมพิวเตอร์ มันย่อมมีช่องโหว่แฝงอยู่เสมอ ซึ่งถ้าเป็นความผิดพลาดเล็กน้อยก็สามารถตามแก้ไขได้ทันท่วงที แต่ถ้าเป็นช่องโหว่ของ smart contract ขนาดใหญ่ ก็อาจจะทำให้แพลตฟอร์มสูญเสียเงินมหาศาลรวมถึงเสียความเชื่อมั่นจากนักลงทุนกันเลยทีเดียว
ยกตัวอย่างช่องโหว่และข้อผิดพลาดใน smart contract เช่น Compound แพลตฟอร์มกู้ยืมเงินจากฝั่ง Ethereum ที่ได้เกิดบัคขึ้นขณะอัพเดต ทำให้ผู้ใช้งานสามารถกดรับผลตอบแทนไปได้มากกว่าปกติ ตีเป็นมูลค่าความเสียหายราวๆ 95 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
ความเสี่ยงสุดท้าย การที่ De-Fi ถูกแฮ็กระบบ
การถูกโจมตีในโลก De-Fi เคยเกิดขึ้นจริงมาแล้วมากมายนับไม่ถ้วน ผมจะขอยกตัวอย่างเหตุการณ์โดนแฮ็กใหญ่ๆสองเหตุการณ์ครับ
เหตุการณ์ Vampire Attack ที่เกิดกับแพลตฟอร์ม Uniswap โดยต้นตอมาจากนักพัฒนาจาก Uniswap บางกลุ่มต้องการที่จะแยกตัวออกไปจาก Uniswap จึงมีการเจาะช่องโหว่ของ smart contract เกิดขึ้นทำให้พวกเขาสามารถดึงสภาพคล่องเม็ดเงินจาก Uniswap ไปได้เกือบครึ่ง ไปใส่ไว้ในแพลตฟอร์มๆใหม่ที่มีชื่อว่า SushiSwap นั่นเอง
เหตุการณ์ Flash Loan Attack จะเกิดกับแพลตฟอร์มกู้ยืมเป็นส่วนใหญ๋ แฮ็คเกอร์จะทำการเจาะช่องโหว่ทาง smart contract โดยการกู้ยืมเงินจำนวนมหาศาลโดยไม่ได้มีการค้ำประกัน ทำการ arbitrage และคืนเงินที่กู้ให้กับแพลตฟอร์ม โดยธุรกรรมทั้งหมดจะเกิดขึ้นภายใน 3 วินาที พูดง่ายๆคือ ทำการโกงระบบโดยที่ระบบยังจับไม่ได้ว่ามีการโกงเกิดขึ้น ซึ่งเหตุการณ์นี้เพิ่งเกิดไปหมาดๆกับ De-Fi คนไทยอย่าง Dopple และ Twidex ทำให้สูญเสียเงินไปกว่า 18 ล้านบาทเลยทีเดียว
จบกันไปแล้วครับกับบทความเรื่องการลงทุนใน De-Fi ซึ่งแต่ละคนจะเหมาะกับวิธีการลงทุนประเภทไหน ก็ขึ้นอยู่กับความเสี่ยงที่ตนเองรับได้ ทุกการลงทุนมีความเสี่ยง ศึกษาให้ละเอียดในทุกแพลตฟอร์มที่จะไปลงทุน อ่าน whitepaper ให้ดีถึงข้อกำหนดและนโยบายต่างๆของแพลตฟอร์ม เพื่อเป็นการรักษาสิทธิ์และเงินลงทุนของเราครับ
“Not financial advice”
“Do Your Own Research”
“ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนการลงทุน”
อ้างอิงจาก : https://medium.com/coinmonks/what-is-a-vampire-attack-in-crypto-fdfc5e1fc5fc
https://www.moneybuffalo.in.th/cryptocurrency