ข้อดีของการลงทุนใน DeFi
ข้อดีของการลงทุนใน DeFi

ท่ามกลางตลาดขาลง เชื่อว่าทุกคนคงได้รับผลกระทบไม่มากก็น้อย จากที่เคยผลตอบแทนเติบโตกันมากกว่า 100%-1,000% อาจจะกลายเป็น -50% แทน แต่สิ่งที่สำคัญที่จะทำให้เราประสบความสำเร็จในตลาดกระทิง และอยู่รอดได้ในตลาดหมีคือ “กลยุทธ์การลงทุน” ในการบริหารสินทรัพย์คริปโต และนำสินทรัพย์เหล่านั้นไปลงทุนให้เกิดประโยชน์สูงสุด

ถ้าเป็นเมื่อ 2-3 ปีก่อนการทำกำไรคงจำกัดอยู่แค่ การเทรด และการลงทุนแบบ ICO เป็นส่วนใหญ่ แต่ปัจจุบันสิ่งที่กำลังมาเติมเต็มการลงทุนในโลกคริปโตให้สมบูรณ์มากยิ่งขึ้นคือ Decentralized Finance (DeFi) และนับวัน Ecosystem ของ DeFi ก็มีแต่จะขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ทั้งในแง่ของจำนวนเงินคริปโตในแพลตฟอร์ม(TVL) ที่เพิ่มขึ้นในแต่ละเดือน การขยายแพลตฟอร์มไปในหลายๆเครือข่ายบล็อกเชน และการพัฒนา Product ที่มีความหลากหลายมากขึ้น

ไม่ว่าจะเป็นแพลตฟอร์มการกู้ยืม แพลตฟอร์มการแลกเปลี่ยน และแพลตฟอร์มประกันภัยสินทรัพย์ รวมถึงแพลตฟอร์มอื่นๆที่มีความหลากหลาย และมีประสิทธิภาพมากขึ้นอย่างเช่น แพลตฟอร์ม Best Rate Swap ต่างๆ ซึ่งการที่ DeFi มี Ecosystem ที่ใหญ่ขึ้น คนที่่ได้รับผลประโยชน์เต็มๆก็คือผู้ใช้งานอย่างเรานั่นเอง ทำให้เราสามารถสร้างกลยุทธ์การลงทุนที่หลากหลายได้มากยิ่งขึ้น

ผมขอเผยตัวเลขผลลัพธ์ย้อนหลังของบริษัท Merkle Capital ที่ทางผม และทีมงานกำลังบริหารอยู่ นับจากวันที่เริ่มต้นเปิด การลงทุนด้วยกลยุทธ์ DeFi ของเราทำผลตอบแทนได้ +111.67% โดยที่ผลตอบแทนย้อนหลัง 6 เดือน เติบโตขึ้น +45.1% และผลตอบแทนย้อนหลัง 3 เดือนในช่วงตลาดขาลงยังเติบโตขึ้น +12.8%

รูปแบบกลยุทธ์ที่เราใช้คือเน้นการถือครองสินทรัพย์ที่มีความผันผวนต่ำ และลงทุนในแพลตฟอร์มที่ต้องผ่าน Framework ของบริษัทเพื่อให้ปลอดภัยแก่เงินลงทุนสูงสุด แม้ว่าอาจจะไม่ได้ให้ได้ผลตอบแทน 10-100 เท่าก็ตาม เพราะสิ่งที่ผมให้ความสำคัญมากที่สุดคือการรักษามูลค่าของเงินต้นทุน และสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืนในทุกสภาวะตลาด

จากบททดสอบของการที่ตลาดเกิดการ Crash ในช่วงต้นเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา โดยมีมูลค่าตลาดลดลงมากถึง -40% จากจุดสูงสุดในเดือนเมษายน ถือเป็นบททดสอบอย่างดีที่จะดูว่าแนวทางการลงทุนในรูปแบบ DeFi นี้สามารถอยู่รอด และเอาชนะความผันผวนที่เกิดขึ้นได้หรือไม่

บททดสอบที่ 1 คือการรักษามูลค่าเงินต้น ซึ่งคงไม่ใช่เรื่องยากมากนักถ้าเน้นแต่การลงทุนด้วยสินทรัพย์ความเสี่ยงต่ำ เช่น Stablecoin ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น USDT, USDC, BUSD หรือ UST เป็นต้น แต่ว่าแน่นอนก็ต้องแลกมากับผลตอบแทนที่ได้รับ ก็อาจจะไม่ได้หวือหวาอะไรมาก แต่ก็มากกว่าระบบการเงินแบบดั้งเดิมหลายสิบเท่าแน่นอน

บททดสอบที่ 2 ถือเป็นเรื่องยากที่สุดคือการที่ทำให้พอร์ตการลงทุนเติบโตอย่างน่าพอใจในทุกสภาวะตลาด และยังคงรักษามูลค่าเงินต้นไปพร้อมกันได้ด้วย โดยการที่ต้องมีการคัดเลือกหลายแพลตฟอร์ม และหลาย Product ที่ให้ผลตอบแทนสูงสุด ซึ่งต้องผ่าน Framwork ที่กำหนดด้วย ไม่ว่าจะเป็น TVL, Audit, ระยะเวลาการเปิดให้บริการ, business partner รวมถึง Exchange listing ของเหรียญแพลตฟอร์มต่างๆ เพื่อให้ปลอดภัยสูงสุดต่อเงินทุน โดยต้องดูองค์รวมของ Project ทั้งหมด ไม่ได้ดูแค่ปัจจัยเดียว

ทำให้ต้องมีการใช้กลยุทธ์ที่หลากหลายมากขึ้น(Multi-Strategy) เช่น การกระจายการลงทุนหลากหลายเครือข่ายบล็อกเชน ไม่ว่าจะเป็น Ethereum Chain, BSC Chain, Polygon Chain และ Terra Chain และมีการปรับกลยุทธ์ที่มีความเหมาะสมอยู่เสมอเพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่น่าพอใจ

ซึ่งผลลัพธ์จากแนวทางการลงทุนที่ทำได้ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมาก็คือพอร์ตโตขึ้น +12.8% หรือคิดเป็นตัวเลขผลตอบแทนต่อปี(APR) ที่ 51.2% แม้ว่าอาจจะไม่เยอะเท่าในช่วงต้นปีที่เป็น Bull Market แต่สำหรับผมก็ถือเป็นผลลัพธ์ที่น่าพอใจแล้วในช่วงตลาดขาลงแบบนี้

ตอนนี้ผมก็สนุกไปกับแนวทางการลงทุน DeFi ในแบบของตัวเองแบบนี้แล้ว แม้กำไรไม่มาก แต่ก็ไม่เคยเจอปัญหากับแพลตฟอร์มที่เข้าไปลงทุนเลย จริงๆต้องบอกว่าแพลตฟอร์มที่ดีในโลก DeFi และน่าเชื่อถือมีไม่เยอะ ทำให้คนไปแย่งกันฟาร์มอยู่ตรงนั้น ผลตอบแทนมันก็น้อยกว่าพวกฟาร์มซิ่งเป็นธรรมดา แต่สุดท้ายก็อยู่ที่คุณแหละว่าจะเลือกลงทุนแบบไหน

– ผลตอบแทนไม่สูงมาก แต่สูงกว่าระบบการเงินแบบเก่า มีความมั่นคงและปลอดภัย ฟาร์มแล้วนอนหลับสบาย
– ผลตอบแทนสูง แต่ต้องลุ้นว่าจะโดน rug pull ไหม กับนอนหลับไม่สนิท

คุณเลือกได้ครับ?

About this author

แบ่งปันเรื่องราว ข่าวสารการลงทุน DeFi ของผม ในช่วงที่ว่างจากการเลี้ยงลูก
Share on facebook
Facebook
Share on twitter
Twitter
Share on telegram
Telegram
Share on email
Email
more articleS
© 2019 BITCOINADDICT | ALL RIGHTS RESERVED